Yongyuth Tiyapairat CCTV record : Press Conference -
The CCTV record on Sept 19, 2006. Coup riad yongyuth's house in bangkok. Got this from press conference leakage.
โดย คุณ alvero
ที่มา เวบบอร์ด ประชาไท
ที่มา เวบบอร์ด ประชาไท
13 กุมภาพันธ์ 2552"
มาแล้ว!!! วีดีโอยงยุทธ ไร้เสียงแต่ภาพมันฟ้อง"
ยงยุทธขอพื้นที่ นายยงยุทธ ติยะไพรัช เปิดเผยว่า ภาพที่ประชาชนได้เห็นและได้รับรู้ จากการเปิดเผยแก่สื่อมวลชนที่ผ่านมา เพื่อแสดงให้สาธารณชนเห็นว่า เกิดอะไรขึ้นกับกระผมในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งนั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่มีหลักฐานและภาพที่ชัดเจน
ระยะเวลากว่าสองปี ที่ผมอดทน ตั้งรับต่อภาวะที่เกิดขึ้น และปรารถนาว่า สักวันหนึ่งกระบวนการดังกล่าวคงจะได้จบสิ้น หากมาจนถึงวันนี้ ก็ไม่มีท่าทีว่าจะจบได้เลย และยังดูเหมือนว่า กระบวนการดังกล่าวคงจะมีต่อเนื่องมาอย่างไม่สิ้นสุด
" นับจากวันที่เกิดเหตุการณ์รัฐประหารขึ้น ผมถูกคุกคามมาโดยตลอด นับแต่วันที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ประกาศให้ผมไปมอบตัว ผมถูกทหารกลุ่มหนึ่งปิดผ้าคาดตา จับขึ้นรถตู้ แล้วนำไปกักขังบริเวณอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง โดยไม่ให้ผมพูดคุยกับใครเป็นเวลา 14 วัน แม้กระทั่งโทรบอกครอบครัวที่มีความเป็นห่วงเป็นใยผมอยู่ หรือแม้กระทั่งบอกกับทหารเวรที่ควบคุมตัวผมว่า ผมเป็นโรคความดันโลหิตสูง และผมไม่มียารักษาโรคเพื่อรักษาอาการ ห้องที่กักขังผมนั้น เป็นห้องแคบ เก่า ที่นอนขึ้นรา ห้องน้ำก็เก่าโสโครก น่าจะเป็นห้องที่ไม่มีคนอยู่มาเป็นเวลานาน ไม่ใช่คฤหาสน์หรูหลังใหญ่อย่างที่ผมเพิ่งทราบในภายหลังว่าทาง คมช. ได้ให้ข้อมูลเช่นนั้น ในความเป็นจริงแล้ว โดยสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษยชนนั้น รัฐต้องมีหมายจับ ก่อนที่จะมาจับกุมคุมขังผม รัฐต้องมีหมายค้น ก่อนจะทำการค้นที่พักอาศัยของผม รัฐต้องให้สิทธิผมในการพบทนาย และรัฐต้องให้สิทธิผมในการพบแพทย์ แต่เขาไม่ให้สิ่งใดกับผมเลย เมื่อ ผ่านไป 14 วัน เขาก็จับผมคาดตา นำขึ้นรถตู้ แล้วนำผมมาปล่อยที่หน้าบ้านของผม ซึ่งผมก็ได้ทราบจากคนของผมที่เฝ้าบ้านอยู่ และกล้องวงจรปิดที่ผมติดตั้งไว้ที่บ้านว่า เขาล่วงละเมิดสิทธิของผมด้วยการค้น รื้อ และทำลายทรัพย์สินของผม ซึ่งเป็นเรื่องที่โชคดีมากที่ผมมีหลักฐานเป็นวิดีโอเทปจากกล้องวงจรปิดที่ผม ติดตั้งไว้" นายยงยุทธกล่าว
นายยงยุทธเปิดเผยต่อว่า ภายหลังจากที่ได้รับการปล่อยตัว ก็อยากให้สังคมเกิดความสุขโดยเร็ว โดยตนเองไม่ต้องการเป็นต้นเหตุของความขัดแย้ง จึงได้ไปทำงานวิจัยด้านสิ่งแวด ล้อมที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
จากนั้น เมื่อได้รับการทาบทามให้เป็นรองหัวหน้าพรรคพรรคพลังประชาชน ผมจึงเดินทางกลับมาด้วยความหวัง ที่จะเห็นความยุติธรรมกระบวนการประชาธิปไตย เกิดขึ้นในสังคมไทย แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะตนถูกลั่นแกล้งด้วยคดีต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง นับจนถึงเวลาปัจจุบัน ได้ 8 คดีแล้ว ซึ่งในบางคดีนั้น ฝ่ายผู้มีอิทธิพลได้สร้างหลักฐานเท็จ และในบางคดี มีการกล่าวอ้างด้วยเหตุที่ไม่เป็นจริง แต่ผลกลับกลายเป็นว่า เหตุการณ์ถูกสร้างขึ้นมาให้ตนกลับกลายเป็นเหยื่อ
ผมเคยกล่าวเมื่อตอนที่ ผมลาออกจากตำแหน่ง ประธานสภาผู้แทนราษฎรว่า ขอให้ผมเป็นเหยื่อรายสุดท้าย แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผลก็ไม่เป็นเช่นนั้น วันนี้ ถึงเวลาแล้ว ที่ผมต้องแสวงหาความยุติธรรม ซึ่งผมรู้แน่แก่ใจว่า ผมอาจหาความยุติธรรมไม่เจอที่นี่ แต่อย่างไรเสียก็ต้องต้องพยายาม เพื่อหาพื้นที่ที่ยังคงยุติธรรมเพียงพอให้ผมมีชีวิตอยู่ได้
ระยะเวลากว่าสองปี ที่ผมอดทน ตั้งรับต่อภาวะที่เกิดขึ้น และปรารถนาว่า สักวันหนึ่งกระบวนการดังกล่าวคงจะได้จบสิ้น หากมาจนถึงวันนี้ ก็ไม่มีท่าทีว่าจะจบได้เลย และยังดูเหมือนว่า กระบวนการดังกล่าวคงจะมีต่อเนื่องมาอย่างไม่สิ้นสุด
" นับจากวันที่เกิดเหตุการณ์รัฐประหารขึ้น ผมถูกคุกคามมาโดยตลอด นับแต่วันที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ประกาศให้ผมไปมอบตัว ผมถูกทหารกลุ่มหนึ่งปิดผ้าคาดตา จับขึ้นรถตู้ แล้วนำไปกักขังบริเวณอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง โดยไม่ให้ผมพูดคุยกับใครเป็นเวลา 14 วัน แม้กระทั่งโทรบอกครอบครัวที่มีความเป็นห่วงเป็นใยผมอยู่ หรือแม้กระทั่งบอกกับทหารเวรที่ควบคุมตัวผมว่า ผมเป็นโรคความดันโลหิตสูง และผมไม่มียารักษาโรคเพื่อรักษาอาการ ห้องที่กักขังผมนั้น เป็นห้องแคบ เก่า ที่นอนขึ้นรา ห้องน้ำก็เก่าโสโครก น่าจะเป็นห้องที่ไม่มีคนอยู่มาเป็นเวลานาน ไม่ใช่คฤหาสน์หรูหลังใหญ่อย่างที่ผมเพิ่งทราบในภายหลังว่าทาง คมช. ได้ให้ข้อมูลเช่นนั้น ในความเป็นจริงแล้ว โดยสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษยชนนั้น รัฐต้องมีหมายจับ ก่อนที่จะมาจับกุมคุมขังผม รัฐต้องมีหมายค้น ก่อนจะทำการค้นที่พักอาศัยของผม รัฐต้องให้สิทธิผมในการพบทนาย และรัฐต้องให้สิทธิผมในการพบแพทย์ แต่เขาไม่ให้สิ่งใดกับผมเลย เมื่อ ผ่านไป 14 วัน เขาก็จับผมคาดตา นำขึ้นรถตู้ แล้วนำผมมาปล่อยที่หน้าบ้านของผม ซึ่งผมก็ได้ทราบจากคนของผมที่เฝ้าบ้านอยู่ และกล้องวงจรปิดที่ผมติดตั้งไว้ที่บ้านว่า เขาล่วงละเมิดสิทธิของผมด้วยการค้น รื้อ และทำลายทรัพย์สินของผม ซึ่งเป็นเรื่องที่โชคดีมากที่ผมมีหลักฐานเป็นวิดีโอเทปจากกล้องวงจรปิดที่ผม ติดตั้งไว้" นายยงยุทธกล่าว
นายยงยุทธเปิดเผยต่อว่า ภายหลังจากที่ได้รับการปล่อยตัว ก็อยากให้สังคมเกิดความสุขโดยเร็ว โดยตนเองไม่ต้องการเป็นต้นเหตุของความขัดแย้ง จึงได้ไปทำงานวิจัยด้านสิ่งแวด ล้อมที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
จากนั้น เมื่อได้รับการทาบทามให้เป็นรองหัวหน้าพรรคพรรคพลังประชาชน ผมจึงเดินทางกลับมาด้วยความหวัง ที่จะเห็นความยุติธรรมกระบวนการประชาธิปไตย เกิดขึ้นในสังคมไทย แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะตนถูกลั่นแกล้งด้วยคดีต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง นับจนถึงเวลาปัจจุบัน ได้ 8 คดีแล้ว ซึ่งในบางคดีนั้น ฝ่ายผู้มีอิทธิพลได้สร้างหลักฐานเท็จ และในบางคดี มีการกล่าวอ้างด้วยเหตุที่ไม่เป็นจริง แต่ผลกลับกลายเป็นว่า เหตุการณ์ถูกสร้างขึ้นมาให้ตนกลับกลายเป็นเหยื่อ
ผมเคยกล่าวเมื่อตอนที่ ผมลาออกจากตำแหน่ง ประธานสภาผู้แทนราษฎรว่า ขอให้ผมเป็นเหยื่อรายสุดท้าย แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผลก็ไม่เป็นเช่นนั้น วันนี้ ถึงเวลาแล้ว ที่ผมต้องแสวงหาความยุติธรรม ซึ่งผมรู้แน่แก่ใจว่า ผมอาจหาความยุติธรรมไม่เจอที่นี่ แต่อย่างไรเสียก็ต้องต้องพยายาม เพื่อหาพื้นที่ที่ยังคงยุติธรรมเพียงพอให้ผมมีชีวิตอยู่ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น