คณะทำงานปฏิบัติการทางการเมือง หรือวอร์รูมของพรรคประชาธิปัตย์ ประเมินสถานการณ์การเมือง ระหว่างวันที่ 24-28 กุมภาพันธ์ ว่าเป็นช่วงสัปดาห์อันตราย
เหตุเพราะว่า รัฐบาลต้องถูกกดดันอย่างหนัก จากการเคลื่อนไหวของกลุ่ม"คนเสื้อแดง" วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ซึ่งนัดชุมนุมใหญ่ ตั้งลำกันที่ท้องสนามหลวง ก่อนเดินขบวนไปล้อมทำเนียบรัฐบาล
ขณะเดียวกัน รัฐบาลมีงานใหญ่รออยู่ คือการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน หรืออาเซียนซัมมิต ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 1 มีนาคม
มีการวิเคราะห์เกมของกลุ่มเสื้อแดงว่า การเลือกวันที่ 24 กุมภาพันธ์ เป็นดีเดย์เริ่มต้นการชุมนุม ที่อาจจะยืดเยื้อหลายวัน เพื่อต้องการแสดงศักยภาพให้สื่อทั่วโลก ที่มาทำข่าวการประชุมอาเซียนซัมมิตได้เห็น เป็นการยืนยันอย่างเป็นรูปธรรมว่า การต่อต้านรัฐบาลชุดนี้ ยังมีอยู่ ไม่ได้ลดระดับความร้อนแรงลงแต่อย่างใด
ซึ่งเป็นจุดประสงค์สวนทางกับฝ่ายรัฐบาล ซึ่งต้องการอาศัยเวทีการประชุมอาเซียนซัมมิต สร้างภาพให้ชาติสมาชิกเห็นว่า รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เข้ามาคลี่คลายความขัดแย้งทางการเมือง กระทั่งอุณหภูมิลดลงไป อยู่ในระดับที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้นำชาติสมาชิก ที่จะไปบอกต่อกับนักลงทุนในประเทศตัวเองได้ว่า ประเทศไทยได้กลับคืนสู่สภาวะที่เกือบจะเป็นปกติแล้ว
นอกจากการเตรียมพร้อมด้านกำลังตำรวจ-ทหาร รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ พยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับม็อบเสื้อแดง ด้วยการย้ายสถานที่ประชุม ครม.วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ไปยัง อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นวิธีที่เคยใช้ได้ผลมาแล้ว เมื่อครั้งรัฐบาลย้ายสถานที่แถลงนโยบาย ไปยังกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อหนีม็อบเสื้อแดง ที่ยกขบวนมาปิดล้อมรัฐสภา
แม้จะเป็นวิธีการหลีกเลี่ยงการปะทะอย่างได้ผล แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ว่า เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อเอาตัวรอดครั้งต่อครั้งเท่านั้น
เพราะหลังจากนั้น ม็อบเสื้อแดงก็ได้รวมตัวเคลื่อนไหวอีกหลายระลอก
ครั้งใหญ่ล่าสุด เมื่อวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา กลุ่มคนเสื้อแดงรวมตัวกัน 3-4 หมื่นคน เคลื่อนขบวนจากท้องสนามหลวง ฝ่าด่านตำรวจ บุกไปเขย่าประตูทำเนียบรัฐบาล ติดประกาศ 4 ข้อ เรียกร้อง ให้รัฐบาลทำตาม
1. ให้ปลดนายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ
2. ให้ดำเนินคดีกับกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ยึดทำเนียบรัฐบาล และปิดสนามบิน
3. ให้นำรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 กลับมาใช้
4. เมื่อนำรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 กลับมาใช้แล้ว ให้รัฐบาลยุบสภาทันที
ปรากฏว่าทั้ง 4 ข้อ ไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาลแม้แต่ข้อเดียว
แน่นอนว่าบางข้อเรียกร้อง เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ เช่น การนำรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 กลับมาใช้ หรือการเรียกร้องยุบสภา
แต่บางข้อที่เหลือนั้น เป็นเรื่องที่รัฐบาลทำได้ แต่ไม่คิดที่จะทำมากกว่า
ด้วยเพราะติดปัญหาหยิกเล็บเจ็บเนื้อ ทั้งที่สิ่งนั้น คือกุญแจสำคัญ ที่จะไขออกจากวิกฤตความขัดแย้งทั้งหลายทั้งปวง ในบ้านเมืองเวลานี้
เหตุการณ์การบุกยึดสนามบิน เมื่อปลายปี 2551 มีความชัดเจนว่า ได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติอย่างมหาศาล
แต่ปรากฏว่า การดำเนินคดีกับกลุ่มคนผู้ก่อการดังกล่าว กลับคืบคลานไปอย่างอืดอาด ล่าช้า จนน่าประหลาดใจ ทั้งที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พูดไว้เองหลายครั้ง ว่ารัฐบาลจะใช้หลักการบังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรม ในการแก้ไขวิกฤตบ้านเมืองที่เกิดขึ้น
เวลาผ่านไปเกือบ 2 เดือน ตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศ เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ดีว่า นายกฯและรัฐบาล ได้ลงมือกระทำในสิ่งที่ประกาศไว้หรือไม่
การแต่งตั้งคนในกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เข้ามามีตำแหน่งบทบาทในรัฐบาล รวมถึงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ และนายตำรวจ ด้วยเอาคนของตัวเอง ลงไปคุมพื้นที่เคลื่อนไหวของฝ่ายตรงกันข้าม สะท้อนว่า นอกจากไม่กระตือรือร้นที่จะดับไฟความขัดแย้งแล้ว รัฐบาลยังเป็นฝ่ายสาดน้ำมันใส่กองไฟเสียเอง
ผลคือ ทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงใช้กรณีดังกล่าว เป็นเงื่อนไขปลุกระดมประชาชน ร่วมชุมนุมต่อต้านรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ด้วยจำนวนคนเสื้อแดงที่มารวมตัวกัน 3-4 หมื่นคน เมื่อวันที่ 31 มกราคม เป็นสัญญาณเตือนให้เห็นว่า คนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล ยังมีอยู่จำนวนไม่น้อย
ที่สำคัญคือ ทุกครั้งของการชุมนุม กลุ่มคนเสื้อแดง จะมีความเข้มแข็งมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังเดินเกมนอกสภาอย่างมีจังหวะจะโคน สอดรับความเคลื่อนไหวในสภาของพรรคเพื่อไทย ชนิดเป็นปี่เป็นขลุ่ย
ล่าสุดแน่นอนแล้วว่า ฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทย จะยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ในวันที่ 11 มีนาคม และคาดว่า จะมีการเปิดอภิปรายได้ ในวันที่ 25-26 มีนาคม
อย่างไรก็ตาม ด้วยจำนวนเสียงของรัฐบาลที่มีอยู่ในสภาตอนนี้ น่าจะเอาตัวรอดจากศึกซักฟอกครั้งนี้ไปได้โดยไม่ยากเย็นเท่าใดนัก
กระนั้นก็ตาม ปัญหาสำคัญ คือลำพังเสียง ส.ส.ในสภาอย่างเดียว ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย ในการอยู่รอดของรัฐบาล
แต่ขึ้นอยู่กับเสียงของประชาชนเป็นหลัก และตราบใดที่รัฐบาลไม่สามารถสร้างความเป็นธรรม ในการบังคับใช้กฎหมายได้
คือยังเลือกบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกับฝ่ายตรงข้าม แต่ผ่อนปรนให้กับพรรคพวกฝ่ายเดียวกัน
เมื่อนั้น ไม่ต้องรอให้แกนนำม็อบหน้าไหนมาบอก
ประชาชนก็พร้อมเป็นผู้ตัดสินชะตาของรัฐบาลด้วยตัวเอง
ข้อมูล http://thaienews.blogspot.com/2009/02/blog-post_7092.html
แดงทั้งแผ่นดิน : Red In The Land
วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น